เรื่องราวของ ครูเอิร์น ที่ค้นพบว่าตัวเองเป็นออทิสติกสเปกตรัมในวัย 24 ปี และได้ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อื่นได้เรียนรู้
จุดเริ่มต้นของการตรวจวินิจฉัย
ครูเอิร์นตัดสินใจไปพบแพทย์หลังนักจิตวิทยา 3 ท่านที่ปรึกษาอยู่แนะนำให้ลองตรวจภาวะออทิสติกสเปกตรัม ครูเอิร์นจึงไปปรึกษาจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลแถวสามย่าน และได้เล่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีความบกพร่องทางสังคม
"หนูรู้สึกว่าหนูเข้ากับสังคมยากมาก" เธอบอกกับหมอ "ไม่รู้ว่าจังหวะไหนควรขำ ไม่ควรขำ ทำไมเรื่องที่เราขำ คนอื่นไม่ขำ แล้วเรื่องมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ที่คนทั่วไปรู้กัน แต่หนูไม่รู้ หนูไม่เข้าใจว่าทำไมหนูไม่รู้"
กระบวนการวินิจฉัยเริ่มต้นด้วยการซักประวัติในวัยเด็กอย่างละเอียด ตั้งแต่การเริ่มพูดที่พบว่าเธอพูดเร็วกว่าเด็กทั่วไป และอ่านหนังสือได้ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ (อนุบาล 2) รวมถึงพฤติกรรมการเล่นกับเพื่อน ซึ่งครูเอิร์นยอมรับว่าเธอไม่ค่อยเล่นกับเพื่อนเพราะสนใจของเล่นคนละแบบ จนถึงตอนประถมที่เธอไม่มีเพื่อนและต้องนั่งหน้าห้องพักครู
ทักษะทางสังคมของเธอไม่ได้พัฒนาขึ้นตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น แม้กระทั่งตอนมัธยมเธอยังเคยพูดกับครูด้วยความหวังดีว่า "ทำไมครูไม่ลองใส่เสื้อทับในดูล่ะคะ" หลังจากที่ครูต่อว่าเพื่อนว่าใส่ชุดชั้นในสีดำแล้วไม่ใส่เสื้อทับในก็ดู 'แรด' ซึ่งในมุมมองของครูเอิร์นที่ถูกสอนมาว่าผู้หญิงควรจะมีแฟนในวัยที่เหมาะสม ทำให้เธอคิดว่าครูอาจจะต้องการหาคู่ครอง การใส่ชุดชั้นในสีดำอาจช่วยได้ แต่คำพูดนี้กลับทำให้ครูโกรธมาก และสร้างความงุนงงให้กับทุกคน
ความรู้สึกหลังการวินิจฉัยและข้อคิดที่ได้รับ
ครูเอิร์นเปิดใจว่า หลังจากหมอวินิจฉัยว่าเธอมีภาวะออทิสติกในกลุ่มแอสเพอร์เกอร์ ความรู้สึกแรกที่เข้ามาในใจคือความกังวลว่า 'ฉันจะยังเป็นครูที่ดีพอไหม' ครูที่เป็นออทิสติกจะสามารถสอนทักษะทางสังคมให้กับลูกศิษย์ได้จริงหรือ ในเมื่อตัวเองก็ขาดทักษะเหล่านั้น
แต่หมอกลับให้ข้อคิดที่เปลี่ยนมุมมองของเธอไปตลอดกาล "ชีวิตคุณไม่ได้เปลี่ยนไปแค่คำวินิจฉัยของผมหรอก คุณสอนเด็กกลุ่มนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ก่อนที่ผมจะวินิจฉัยคุณ และเด็กกี่คนที่เข้ามาอยู่กับคุณจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คุณไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าคุณเป็นครูที่ดีพอไหม เพราะสิ่งที่คุณทำมามันดีพอมาตลอด"
ประโยคนี้ทำให้ครูเอิร์นตระหนักว่า "ใครจะตีตราเรายังไงก็ได้ แต่เราก็อย่าตีตราตัวเอง" และยังทำให้เธอไม่เคยตัดสินหรือตีตราลูกศิษย์ของเธอเลย
ความกังวลต่อมาคือหากผู้ปกครองรู้เรื่องนี้จะยอมรับได้หรือไม่ แต่ผู้ปกครองท่านหนึ่งได้ตอบกลับมาอย่างน่าประทับใจว่า "ครูเอิร์น แม่ไม่สนหรอกว่าครูจะป่วยเป็นอะไร มีอาการอะไร แม่สนแค่ว่าตอนนี้ครูสอนลูกแม่ได้ แค่นี้แม่โอเคแล้ว"
เพราะความเข้าใจและความเมตตาของผู้ปกครอง ทำให้ครูเอิร์นยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองและทำหน้าที่ครูต่อไปจนถึงทุกวันนี้ แม้จะรู้ว่าตัวเองมีความบกพร่องทางพัฒนาการเรื่องออทิสติกก็ตาม
เรื่องราวของครูเอิร์นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในการเปิดรับความจริงและการใช้ชีวิตอยู่กับความแตกต่างอย่างเข้าใจและยอมรับในตัวเอง เป็นการย้ำเตือนว่าการวินิจฉัยไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณค่าของคนเรา แต่เป็นการทำความเข้าใจตัวเองเพื่อใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพในแบบของเราเอง