เกลือหิมาลัย (Himalayan Salt) หรือที่รู้จักกันในชื่อเกลือชมพูหิมาลัย เป็นเกลือชนิดหนึ่งที่มีสีชมพูอ่อนจนถึงส้มเข้ม มีการขุดขึ้นมาจากเหมืองเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า Khewra Salt Mine ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศปากีสถาน
อะไรทำให้เกลือหิมาลัยแตกต่างจากเกลือทั่วไป?
องค์ประกอบทางเคมี: เกลือหิมาลัยประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์เป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ทำให้มันโดดเด่นคือการมีแร่ธาตุและธาตุติดตาม (trace elements) มากถึง 84 ชนิด เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็ก ที่ทำให้มันมีสีชมพูสวยงาม ขณะที่เกลือแกงทั่วไปมักจะมีโซเดียมคลอไรด์สูงถึง 99%
กระบวนการผลิต: เกลือหิมาลัยเป็นเกลือที่ไม่มีการปรุงแต่งหรือแปรรูปมากนัก มักจะถูกขุดขึ้นมาและบดให้ได้ขนาดต่างๆ ซึ่งต่างจากเกลือแกงทั่วไปที่มักจะผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์สูงเพื่อกำจัดแร่ธาตุอื่นๆ และอาจมีการเติมสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน (anti-caking agents)
รสชาติและเนื้อสัมผัส: หลายคนบอกว่าเกลือหิมาลัยมีรสชาติที่นุ่มนวลและไม่เค็มจัดเท่าเกลือแกงทั่วไป และมักจะถูกใช้ในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติและสีสัน
ดีกว่าเกลือปกติอย่างไร?
แม้ว่าเกลือหิมาลัยจะเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ แต่ยังมีการถกเถียงกันถึงประโยชน์ที่กล่าวอ้างว่า "ดีกว่า" เกลือปกติอย่างไรบ้าง:
มีแร่ธาตุมากกว่า: ข้อนี้เป็นเรื่องจริงที่เกลือหิมาลัยมีแร่ธาตุหลายชนิด อย่างไรก็ตาม ปริมาณแร่ธาตุเหล่านี้มีน้อยมาก การบริโภคเกลือหิมาลัยในปริมาณปกติจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุที่จำเป็นในปริมาณที่เพียงพอ
เป็นธรรมชาติกว่า: เกลือหิมาลัยมักจะมีการแปรรูปน้อยกว่า จึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ "เป็นธรรมชาติ" มากกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเติมแต่งในอาหาร
รสชาติที่ดีกว่า: ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล บางคนชอบรสชาติที่ซับซ้อนและนุ่มนวลของเกลือหิมาลัยในการปรุงอาหาร
คุณประโยชน์อื่นๆ: มีการกล่าวอ้างถึงประโยชน์ของเกลือหิมาลัยในด้านต่างๆ เช่น การปรับสมดุล pH ในร่างกาย การเพิ่มพลังงาน หรือการใช้ในโคมไฟเกลือเพื่อฟอกอากาศ แต่ข้ออ้างเหล่านี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมารองรับอย่างชัดเจน
สรุปแล้ว เกลือหิมาลัยมีความแตกต่างจากเกลือทั่วไปในเรื่องของแหล่งที่มา แร่ธาตุ และกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แท้จริงในเชิงโภชนาการเมื่อเทียบกับราคาที่สูงกว่านั้นอาจไม่มากนัก การบริโภคเกลือไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามยังคงต้องคำนึงถึงปริมาณโซเดียมเป็นหลัก ซึ่งไม่ควรมากเกินไปเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี